วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กรุ๊ปเลือด คืออะไร

กรุ๊ปเลือด
เลือดของคนเรานั้น แบ่งออกเป็น 4 กรุ๊ป ตามระบบ เอบีโอ (ABO system) ได้แก่ กรุ๊ป A, กรุ๊ป B, กรุ๊ป AB และกรุ๊ป O โดยการถ่ายเลือดให้กับคนอื่นนั้น จะทำได้ก็ต่อเมื่อ แอนติเจน และแอนติบอดี ของเลือดตรงกัน หรือเข้ากันได้ หลักเกณฑ์ในการถ่ายเลือดมีดังนี้



  • คนที่มีเลือดกรุ๊ป A มีแอนติเจน A และมีแอนติบอดี B สามารถรับเลือดกรุ๊ป A และ O ได้


  • คนที่มีเลือดกรุ๊ป B มีแอนติเจน B และแอนติบอดี A สามารถรับเลือดกรุ๊ป B และ O ได้



  • คนที่มีเลือดกรุ๊ป AB มีทั้งแอนติเจน A และ B แต่จะไม่มีแอนติบอดี สามารถรับได้ทุกกรุ๊ป แต่ให้ใครไม่ได้เลย

  • คนที่มีเลือดกรุ๊ป O ไม่มีแอนติเจน แต่มีแอนติบอดีทั้ง A และ B สามารถให้เลือดได้กับทุกกรุ๊ป แต่รับได้เฉพาะเลือดกรุ๊ปเดียวกันเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เลือดกรุ๊ป O จึงได้ชื่อว่าเป็นนักบุญนั่นเอง


กรุ๊ปเลือดเหล่านี้ ถูกกำหนดโดยพันธุกรรม โดยลูกจะมีเลือดอยู่ในกลุ่มที่ตรงกับพ่อ หรือแม่ อย่างน้อยคนใดคนหนึ่ง การตรวจเลือดจึงมักเป็นหลักฐานชิ้นหนึ่ง ในการพิสูจน์หาพ่อแม่ที่แท้จริงนั่นเอง

นอกจากนี้ หลายคนอาจมีความสงสัยว่า เวลาไปตรวจเลือด คุณหมอมักจะเขียนตัวภาษาอังกฤษสองตัวต่อจากผลกรุ๊ปเลือดด้วย เช่น กรุ๊ป O Rh+ หรือกรุ๊ป A Rh- เป็นต้น ซึ่งจะเป็นการบอกชนิดของแอนติเจนที่พบในเลือดอีกชนิดหนึ่ง นอกจากแอนติเจน A และ B เรียกว่า อาร์เอชแฟกเตอร์ (Rh factor) แอนติเจนชนิดนี้ มีอยู่ในพลเมืองโลก ประมาณ 85% ส่วนที่เหลือไม่มี ดังนั้น คนที่ตรวจพบว่ามีอาร์เอชแฟกเตอร์อยู่ คุณหมอก็จะเขียนต่อท้ายกรุ๊ปเลือดว่า Rh+ แต่สำหรับคนที่ไม่มีแอนติเจนชนิดนี้ ก็จะถูกระบุว่า Rh-

ข้อมูลเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เราควรต้องรู้ไว้อย่างยิ่ง หากผู้หญิงที่มีกรุ๊ปเลือด Rh- แต่งงานกับผู้ชายกรุ๊ปเลือด Rh+ จะทำให้ทารกในครรภ์ได้รับอันตราย เพราะแอนติบอดีในเลือดของแม่อาจถ่ายผ่านไปยังเลือดของทารกที่มีอาร์เอชแฟกเตอร์ แล้วทำปฏิกิริยาต่อกัน อาจถึงกับแท้งได้ ซึ่งหากเกิดกรณีนี้ ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทารกปลอดภัย ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจมีลูก สามี-ภรรยา ควรจูงมือกันไปตรวจเลือดเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้

นอกจากนี้ คนที่มีกรุ๊ปเลือด Rh- ไม่สามารถรับเลือดที่มี Rh+ ได้ ไม่เช่นนั้น จะเป็นอันตรายถึงชีวิต และเนื่องจากกรุ๊ปเลือด Rh- หาได้ยากมาก เมื่อมีอุบัติเหตุฉุกเฉินกับคนเหล่านี้ขึ้น จึงต้องขอความช่วยเหลือจากธนาคารเลือด หรือขอบริจาคจากคนที่กรุ๊ปเลือดเดียวกัน ที่เราได้ยินบ่อย ๆ ทางสถานีวิทยุ นั่นเอง ไม่เพียงเท่านั้น การศึกษาเกี่ยวกับกรุ๊ปเลือดที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากของ Dr.Peter J.D'Adamo นายแพทย์ด้านธรรมชาติบำบัด ชาวสหรัฐอเมริกา ยังค้นพบอีกว่า การกินอาหารและใช้ชีวิตที่เหมาะสมกับคนกรุ๊ปเลือดนั้น ๆ สามารถช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้

Dr.Peter J.D'Adamo ได้เขียนหนังสือออกมาหลายเล่ม เพื่อเผยแพร่แนวความคิดเกี่ยวกับการกินอาหารให้เหมาะสมกับกรุ๊ปเลือด เล่มหนึ่งที่โดดเด่นของเขามีชื่อว่า Eat Right For Your Type ได้อธิบายว่า เม็ดเลือดทั้ง 4 กรุ๊ปของคนเรามีรายละเอียดที่แตกต่างกัน อาหารของคนแต่ละกรุ๊ปเลือด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น